เที่ยวอิตาลี มรดกโลก 600 ปี

เที่ยวอิตาลี แฟนตาซีในภาพยนตร์หรือนวนิยาย มักมาจากเรื่องจริง และวันนี้เราจะพาไปรู้จัก Alberobello (อัลเบอโรเบลโล) หมู่บ้านโบราณของอิตาลีที่ได้รับขนานนามว่าเป็น หมู่บ้านฮอบบิท อีกหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามและคลาสสิก จะน่าเที่ยวขนาดไหน มาดูกัน

เที่ยวอิตาลี Alberobello หมู่บ้านโบราณ มรดกโลก อิตาลี

เที่ยวอิตาลี อัลเบอโรเบลโล หมู่บ้านอายุกว่า 600 ปี ตั้งอยู่ในแคว้นปูลยา (Puglia หรือ Apulia) ทางตอนใต้ของอิตาลี แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ 10,237 คน แต่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้าน Trulli บ้านทรงกรวยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2539 นั่นเองค่ะ

ประวัติ บ้านตรูลี และรูปแบบสถาปัตยกรรม

จุดเด่นของอัลเบอโรเบลโล แน่นอนว่าต้องเป็น Trulee House ที่มีสไตล์แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร มันถูกสร้างขึ้นจากก้อนหินปูนขนาดใหญ่ที่ตัดหยาบ นำมาจากท้องนาใกล้เคียง สร้างด้วยวิธีการสร้างบ้านแบบโบราณที่เรียกว่า “หินแห้ง” ซึ่งหินแต่ละก้อนจะก่อตัวขึ้นทีละน้อย เรียงต่อกันแข็งแรงและล็อคติดกันแน่นตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ปูนเลยแม้แต่น้อย และโดยทั่วไปแล้วบ้านเหล่านี้จะมีหลังคาทรงเสี้ยม โดม หรือทรงกรวย ซึ่งมีลักษณะกลมมนจนหลายคนเรียกที่นี่ว่า “หมู่บ้านฮอบบิท”

สาเหตุที่สร้างด้วยหินปูนก็เพราะในศตวรรษที่ 14 บริเวณรอบหมู่บ้านอัลเบอโรเบลโลอยู่ภายใต้การปกครองของเคานต์แห่งคอนแวร์ซาโนซึ่งพยายามลดภาษี ในการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับชนชั้นแรงงาน จึงเลือกสร้างบ้านด้วยวัสดุหินปูนที่สามารถทำลายได้ง่ายนั่นเองค่ะ

และแม้จะเป็นหมู่บ้านอายุร้อยปีแต่ก็ยังแข็งแรงทนทานมาจนทุกวันนี้ และยังช่วยป้องกันลมหนาว และรักษาความอบอุ่นในบ้านได้เป็นอย่างดีด้วยการฝังไฟไว้ที่ผนังจึงทำให้อยู่สบายแม้ในฤดูหนาว นอกจากนี้ ยังสร้างบ่อพักน้ำเพื่อรองรับน้ำฝนที่จะไหลมาตามส่วนที่ยื่นออกมาของ ชายคาเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังแรกเลยก็ว่าได้ เป็นต้นแบบของบ้านอีโคในปัจจุบันเลยก็ว่าได้

ปัจจุบันอัลเบอโรเบลโลได้พัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในอิตาลี นอกจากจะเป็นที่พักของคนทั่วไปแล้ว บางหลังยังเปิดเป็นบ้านพักรับรองนักท่องเที่ยวอีกด้วย บางส่วนเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก บางหลังเป็นร้านอาหาร บรรยากาศน่ารักราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย น่าไปสักครั้ง

1. กรุงโรม Rome

เริ่มเมืองแรกที่กรุงโรม (Rome) ซึ่งมาพร้อมกับตำแหน่งเมืองหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี โรมนั้นพิเศษไม่เพียงเพราะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่เป็นเมืองที่มีอายุกว่า 2,700 ปี จึงไม่น่าแปลกใจหากที่นี่จะเป็นแหล่งรวบรวมโบราณสถานที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศไว้มากมาย รวมถึงเป็นรากฐานสำคัญของศิลปะและสถาปัตยกรรมตะวันตกอีกด้วย เช่น โคลอสเซียม วิหารแพนธีออน น้ำพุเทรวี่ เป็นต้น

2. นครรัฐวาติกัน Vatican City

เมื่อมาเยือนกรุงโรมทั้งทีต้องมาชมความยิ่งใหญ่ของนครรัฐวาติกันซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนจักรที่มีสมเด็จพระสันตะปาปาหรือพระสันตะปาปาเป็นประมุข โดยมีไฮไลท์คือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 แต่อาคารที่เราเห็นในปัจจุบันได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในปี 1626 โดยศิลปินและสถาปนิกชื่อดังแห่งยุคเรอเนซองส์ (Renaissance) หลายคน ไม่ว่าจะเป็น Michael Angelo (มีเกลันเจโล), Donato Bramante (โดนาโต บรามันเต), Raphael (ราฟาเอล) และ Giovanni Bernini (จิโอวานนี่ แบร์นินี) เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) ซึ่งเป็นสถานที่คัดเลือกพระสันตปาปา ซึ่งโดดเด่นด้วยจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานโบสถ์ ฝีมือของมีเกลันเจโลที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะออกมาได้อย่างงดงาม ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วาติกันที่รวบรวมงานศิลปะที่มีความสำคัญในศาสนาคริสต์ตั้งแต่ยุคคลาสสิกและยุคเรอเนซองส์ถึง 70,000 ชิ้นเลยทีเดียว

3. เวนิส Venice

ฉายา “ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก” หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” ไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับเมืองเวนิสที่รายล้อมไปด้วยลำคลอง มากถึง 150 สาย รวมถึงอาคารหลากสีสันที่ตัดกับน้ำทะเลสีครามอย่างลงตัว นอกจากงาน Venice Carnival และการล่องเรือกอนโดลาที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเวนิส บาซิลิกา ซาน มาร์โก (St. Mark’s Basilica) ยังเป็นไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ . เนื่องจากเป็นอาสนวิหารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ที่เน้นลวดลายวิจิตรงดงาม ตั้งอยู่ในจัตุรัสกลางเมือง ใครมาถึงเวนิสแล้วไม่ได้มาเยือนมหาวิหารแห่งนี้ถือว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เคย

4. ฟลอเรนซ์ Florence

แม้จะเป็นเมืองไม่ใหญ่มาก แต่ฟลอเรนซ์ (Florence) ก็มีดีกรีเป็นเมืองหลวงเก่าของอิตาลีตั้งแต่ปี 1865 ถึง 1871 แถมปัจจุบันยังเป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (Tuscany) อีกด้วย (ไฮไลท์ของฟลอเรนซ์คือวิวแม่น้ำอาร์โน ซึ่งไหลผ่านอาคารโบราณโทนสีอบอุ่นและทิวเขาที่สวยงามเชื่อมต่อกันด้วยสะพานเวคคิโอสมัยศตวรรษที่ 14 ระหว่างสองฟากฝั่งของเมืองเข้าด้วยกัน

หลังจากมาถึงฟลอเรนซ์แล้ว สถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดคือ Florence Cathedral (Cathedral of Santa Maria del Flore) เป็นตัวอย่างของศิลปะที่ผสมผสานระหว่างโกธิค โรมาเนสก์ และเรอเนซองส์ (ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา) อย่างชัดเจน. นอกจากนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO คนรักศิลปะต้องไปเช็คอินที่ Uffizi Gallery ที่เก็บผลงานกว่า 100,000 ชิ้นโดยตระกูล Florentine และ Renaissance รวมถึงผลงานชิ้นเอกของศิลปินยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียง เช่น Sandro Botticelli, Leonardo da Vinci, Michelangelo (มีเกลันเจโล) และ Caravaggio (การาวัจโจ) เป็นต้น

บทความแนะนำ

เที่ยวนอร์เวย์

เที่ยวไอซ์แลนด์