เที่ยวฝรั่งเศส ประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่งของโลก และได้ผ่านช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์มามากมาย สถานที่เที่ยวดังๆ หลายๆ ที่ที่นี่มีหลากหลายมาก ไล่ตั้งแต่โบราณสถาน ปราสาท พระราชวัง ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่ดูทันสมัยขึ้น ใครที่ชอบสถาปัตยกรรมสวยๆ เดินชมเมืองสวยๆ ในบรรยากาศ ที่รับรองว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ลองมาดู ที่เที่ยวฝรั่งเศสแนะนำต่อไปนี้ ฉันแน่ใจว่าคุณจะต้องการไปฝรั่งเศส
ข้อมูลเบื้องต้น ก่อนเที่ยวฝรั่งเศส
เที่ยวฝรั่งเศส เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปรองจากรัสเซีย และยูเครน คำว่า France (ฝรั่งเศส) มาจากคำภาษาละตินว่า Francia ซึ่งแปลตรงตัวว่า The Frankland ประกอบด้วย 13 แคว้น (regions) และ 96 จังหวัด (départements) ซึ่งมีพรมแดนติดกับหลายประเทศ ได้แก่ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี โมนาโก อันดอร์รา และสเปน ปกครองเหนือทะเล (โพ้นทะเล) ในทวีปต่างๆ ได้แก่ อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา แอนตาร์กติกา และโอเชียเนีย ปัจจุบันฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 82 ล้านคนต่อปี
1. หอไอเฟล (Eiffel Tower)
เชื่อว่าหลายคนคงเดาออกแล้ว ที่หนึ่งในลิสต์ก็ต้องเป็นหอไอเฟลที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ สร้างขึ้นในปี 1889 เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนงาน World’s Fair ในปีนั้น เป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศ ใครอยากขึ้นไปชมวิวก็เสียค่าเข้าชม จะเห็นวิวกรุงปารีสจากมุมสูงพร้อมสวนด้านหน้าและด้านหลังเป็นริมฝั่งแม่น้ำแซน
2. มหาวิหารมงแซ็งมิเชล (Mont Saint Michel)
วิหารมงต์แซงต์มีแชล ในแคว้นนอร์มังดี (Normandy) เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปี พ.ศ. 2522 เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ มีถนนเชื่อมระหว่างเกาะกับแผ่นดินใหญ่ มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 2.5 ล้านคนต่อปี! และที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในปราสาทต้นแบบของดิสนีย์อีกด้วย
3. เมืองแรนส์ (Rennes)
Rennes เป็นเมืองในภาคตะวันออกของ Brittany ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับตำแหน่งเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในฝรั่งเศส ที่นี่โดดเด่นด้วยอาคารยุคเรอเนซองส์ หรือยุคเรอเนสซองส์ มีอาคารสวยๆ ให้ชมมากมาย และยังเป็นเมืองที่ตั้งมหาวิทยาลัยใหญ่อันดับ 8 ของประเทศอีกด้วย
4. มหาวิหารซาเคร-เกอร์ บาซิลิก้า (Basilica of the Sacred Coeur)
Sacre-Geur Basilica มหาวิหารสีขาวในนิกายโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของกรุงปารีส ความพิเศษคือ สถาปัตยกรรมแบบโรมันไบแซนไทน์ จึงทำให้ที่นี่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากวัดอื่นๆในยุคเดียวกัน และยังเป็นจุดชมวิวเมืองปารีสที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย
5. โกตดาซูร์ (Côte d’Azur) หรือ เฟรนช์ ริเวียร่า (French Riviera)
Côte d’Azur เป็นชื่อเรียกแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ระยะทางไกลรวมถึงโมนาโก เป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมที่มีรีสอร์ทมากมาย น้ำทะเลสวย หาดทรายขาว และแสงแดดดีตลอดทั้งปี ทำให้ผู้คนนิยมมานอนอาบแดดที่นี่ เมืองที่ใหญ่ที่สุดบน Cote d’Azur คือเมืองนีซ
6. มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส (The Cathedral Notre Dame de Paris)
อาสนวิหารแบบกอธิคที่อยู่คู่กับกรุงปารีสมากว่า 850 ปีเป็นศูนย์กลางความเชื่อของชาวคริสต์ที่สำคัญในเมืองปารีส คำว่า Notre Dame หมายถึงแม่พระ ซึ่งชาวคาทอลิกเรียกเธอว่า เรย์ แม้ว่าในปี พ.ศ. 2550 จะเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่ 2562 แต่ได้ทำการบูรณะครั้งใหญ่ให้กลับมาสวยงามดังเดิม
7. พระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles)
พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles) มีชื่อเสียงในด้านความยิ่งใหญ่ หรูหราตระการตา อลังการทั้งภายในและภายนอก มีห้องมากถึง 700 ห้อง พร้อมภาพเขียน และประติมากรรมประดับด้วยหินอ่อนและวัสดุชั้นเลิศ พระราชวังแวร์ซายส์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2522
8. กอลมาร์ (Colmar)
กอลมาร์เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอเรน ในภูมิภาค Alsace เป็นหนึ่งในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการอนุรักษ์เมืองให้คงรูปแบบสถาปัตยกรรม และบรรยากาศของเมืองโบราณได้เป็นอย่างดี และยังมีอีก ฉายา เวนิสน้อยแห่งฝรั่งเศส อีกด้วย เพราะเมืองนี้ยังมีคลองผ่าน สามารถล่องเรือชมเมืองได้ ด้วยบรรยากาศที่โรแมนติกนี้เองทำให้คู่รักนิยมมาจัดงานแต่งงานกันที่นี่ และของขึ้นชื่ออีกอย่างที่ไม่ควรพลาดสำหรับที่นี่ก็คือ ไวน์ เพราะเป็นแหล่งปลูกองุ่นขนาดใหญ่ของแคว้นอาลซัสเอง
9. เส้นทางสายลาเวนเดอร์ (Sault Lavender Road)
ใครที่อยากไปเดินเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ของจริง ห้ามพลาด Lavender Route at Sault เมืองในแคว้นโพรวองซ์ ดินแดนที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วง และสวยงามราวกับภาพวาดสีน้ำมัน ทุ่งลาเวนเดอร์ที่นี่ไม่ได้มีไว้แค่ถ่ายรูปเท่านั้น แต่ยังใช้ทำผลิตภัณฑ์จากดอกลาเวนเดอร์ ไม่ว่าจะเป็น สบู่ ครีมอาบน้ำ น้ำมันหอมระเหย ลิปสติก เทียนหอม กลิ่นลาเวนเดอร์ต่างๆ
เที่ยวฝรั่งเศส เดือนไหนได้บ้าง ?
ฝรั่งเศสมี 4 ฤดู แต่สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน แต่ละพื้นที่มีภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ก่อนออกเดินทางในแต่ละวันแนะนำให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม
ฤดูใบไม้ผลิ: มีนาคมถึงพฤษภาคมและฤดูใบไม้ร่วง: กันยายนถึงพฤศจิกายน
ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ เวลากลางวันจะเริ่มนานขึ้น ทำให้การเดินทางสนุกยิ่งขึ้น เพราะอากาศไม่หนาวเกินไป ควรเตรียม เสื้อแจ็คเก็ต และกางร่มไว้เสมอเพื่อป้องกันความหนาวและฝนที่อาจตกลงมาได้ทุกเมื่อ
ฤดูร้อน: กรกฎาคมถึงกันยายน
ฤดูร้อนในฝรั่งเศสนั้นร้อนและแห้ง ควรพกครีมกันแดดและแว่นกันแดดติดตัวไว้ตลอดเวลา ร้านอาหาร หรือร้านค้าบางแห่งมักปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวของฝรั่งเศส ก่อนไปต้องเช็คให้ดี
ฤดูหนาว : ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
ปลายฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ฝนตกบ่อย และท้องฟ้ามีเมฆมากทำให้อากาศดูขมุกขมัวตลอดเวลา แต่ฤดูหนาวที่นี่มักจะไม่ลดลงต่ำกว่าศูนย์ ในช่วงเวลานี้ เวลากลางวันจะสั้นลง พระอาทิตย์ขึ้นช้าและตกเร็ว เหมาะสำหรับการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวในร่ม เช่น พิพิธภัณฑ์ พระราชวังต่างๆ เป็นต้น และควรพกร่มติดตัวไว้เสมอ